29 เมษายน 2024, 12:10:28 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เว็บบอร์ด   ช่วยเหลือ ซื้อขายสินค้า Shop เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ:  กลัวเป็นหมัน ? กลัวสมองฝ่อ? คลื่นมือถือ และ PDA Phone อันตราย?  (อ่าน 2437 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
^SuRaYoOt^
Global Moderator
**


สูงต่ำอยู่ที่เราทำตัว ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
ID number: 6
กระทู้: 14423
$3658.87 credits

View Inventory
Send Money to ^SuRaYoOt^

Referrals: 0
คำขอบคุณ
-ได้ให้: 1788
-ได้รับ: 69258



พลังชีวิต
0.67%


« เมื่อ: 28 กันยายน 2009, 13:38:37 »


ที่มา Mr.palm

ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว วันนี้ผมคงไม่นำเรื่องในบทความนี้มาเขียนบอกเล่าสู่กันฟังแน่นอนครับเพราะเมื่อสัก 20 ปีก่อนปริมาณการใช้งานมือถือไม่มากถึงทุกวันนี้ซึ่งมีคนใช้มือถือทั่วโลกมากกว่า 4 พันล้านคน ในเมืองไทยไม่ต้องพูดถึง มีใช้กันเกลื่อนทุกสังคมทุกชนชั้น ตั้งแต่กรรมกร ยันไฮโซ สิ่งที่มาคู่กับเรื่องปริมาณการใช้มือถือและเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานแสนนานก็คือ ใช้มือถือแล้วคลื่นมือถือทำอันตรายต่อสุขภาพเราจริงหรือ?

จากบทความวิจัยหลายๆที่ทั่วโลกยังไม่สรุปนะครับว่าคลื่นมือถือทำให้เกิดมะเร็ง หรืออันตรายต่อร่างกายเราจริงๆยังไม่มีใครกล้าฟันธง แม้แต่หมอลักษณ์ หรือหมอกฤษณ์ ก็ยังไม่กล้ายืนยัน แต่จากการทดลองในต่างประเทศพบว่า กลุ่มคนที่ใช้มือถือเยอะๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ใช้มือถือในบางครั้งและในยามจำเป็น พบว่าคนที่ใช้มือถือเยอะๆ ในแต่ละวัน มีอัตราการเป็นมะเร็งสมอง หรือมีผลกระทบอื่นๆสูงกว่าผู้ที่ใช้มือถือในปริมาณที่น้อย ซึ่งก็เป็นผลมาจากคลื่นของมือถือนั่นเอง มันทำให้เกิดหลายสิ่งตามมา ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาทต่างๆ รวมทั้ง สิ่งที่ผู้ชายสุดแสนจะกลัววววว ก็คือมันมีผลต่อการค่าสเปริม ของผู้ชายด้วย ฮือ ๆ ซึ่งเป็นผลการวิจัยของ Cleveland Clinic Center for Reproductive Medicine and Medical College of Wisconsin, และการวิจัยของประเทศอื่นๆ (Australia, Japan, and Europe) ว่ามีผลทำให้จำนวนของ สเปริมผู้ชายลดลงด้วย แต่ไม่ใช่ว่าใช้ปีสอง ปีแล้วจะเห็นผล มันเป็นผลระยะยาวนะครับ เป็นสิบปี

ในอเมริกาโทรศัพท์ก่อนออกขายจะต้องมีการผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เรียกชื่อย่อว่า FCC ซึ่งหากไปอเมริกาจะเห็นว่าสินค้าบางอย่างจะเขียนว่า FCC Approve ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การทดสอบโทรศัพท์ของค่ายต่างๆก่อนออกขายนั้นตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา การที่โทรศัพท์จะออกจำหน่ายได้นั้นต้องผ่านการตรวจสอบเรื่องของ SAR Rating ด้วย SAR ย่อมาจาก "specific absorption rate " เป็นการวัดปริมาณ พลังคลื่นความถี่จากอุปกรณ์มือถือ หรือ radiofrequency (RF) energy  ซึ่งจะถูกดูดซับโดยร่างการของเราขณะใช้งาน ก็คงจะคล้ายๆกับการวัดปริมาณคลื่นหรือรังสีที่เราอาบเข้าไปขณะใช้งาน  สำหรับโทรศัพท์ในอเมริกานั้น FCC จะอนุญาติให้โทรศัพท์ที่มีค่า SAR Rating ต่ำกว่า 2.0 W/KG ออกจำหน่ายได้ โดยวัดจากการใช้งานขณะที่เอามาแนบหูตัวผู้ใช้ เหมือนกับการใช้งานจริง หากค่า SAR Rating มากกว่า 2.0 ก็ถือว่าสอบตก ต้องให้ผู้ผลิตรายนั้นๆไปหาหนทางปรับค่าใหม่ก่อนส่งมาทดสอบต่อไป


อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่จะสรุปว่าคลื่น RF นั้นมันมีผลต่อสุขภาพเราจริงๆ แต่ในการวิจัยและการทดสอบจากบางแห่งก็มีการให้ข้อมูลว่าพวกคลื่น RF จากมือถือนี่แหละมันมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวเร่งให้เซลในร่างการเกิดความผิดปกติไปซึ่งจะทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ โดยจากการทดลองกับสัตว์ปรากฎว่ามันมีผลลัพธฺที่ทำให้เกิดความผิดปกติจริงๆ แต่ในมนุษย์ยังไม่มีการฟันธงว่าจะเกิดขึ้นจริงๆเพราะมันเป็นผลระยะยาวสำหรับใครที่ใช้โทรศัพท์เป็นระยะเวลานานๆ

การใช้หูฟัง Bluetooth จะช่วยลดอันตรายได้จริงหรือ?

จากข้อมูล American Cancer Society 2008; BfS 2005; Martinez-Burdalo 2009; Swiss Federal Office of Public Health 2009a   ก็เป็นที่ยืนแล้วครับว่าการใช้ หูฟัง Bluetooth นั้นสามารถช่วยลดค่า SAR ได้จริง แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัด ว่า ค่า SAR ที่ออกมาจากมือถือนั้นมันทำอันตรายต่อคนใช้ได้มากน้อยแค่ไหนเพราะมันเป็นผลระยะยาว

เทคโนโลยี Bluetooth นั้นเริ่มฮิตใช้กันเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้เองเป็นการติดต่อสื่อสารระยะใกล้ๆสำหรับอุปกรณ์สองชนิดที่ต่างกันหรือเหมือนกันโดยใช้คลื่นความถี่เป็นการส่งข้อมูลสื่อสารซึ่งจะมีระยะการติดต่อในวงแคบๆไม่ไกลมากนัก ซึ่งเรื่องนี้ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักกับเรื่อง Bluetooth เป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งจากากรทดสอบของ Swiss Federal Office of Public Health (FOPH)  เค้าได้วัดค่า SAR จากอุปกรณ์ หูฟัง Bluetooth จากรุ่นทั่วๆไปซึ่งก็ได้ค่าประมาณ 0.001 and 0.003 W/kg ซึ่งน้อยกว่า จากค่า SAR ที่ออกจากมือถือรุ่นที่ปล่อยคลื่นน้อยสุดถึง 12 เท่า


แม้ว่าหูฟัง Bluetooth มันจะช่วยลดคลื่นให้เราได้มากก็ตามแต่ก็อย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่มักจะเอาโทรศัพท์หรือ PDA Phone ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ หรือหนีบไว้ที่ซองใส่ในเอว เพราะว่าขณะที่เรากำลังใช้งานโทรศัพท์ผ่านหูฟัง Bluetooth นั้น กำลังการแผ่คลื่นของมือถือมันไม่ได้ลดลงนะครับ แถมเรายังเอามันวางไว้ในตำแหน่งใกล้ตัว มันก็ยังคงเกิดอันตรายอยู่ดี เพราะร่างกายเรามันก็จะดูดซับคลื่นโทรศัพท์ขณะที่ใช้งานเหมือนเดิม ดังนั้นทาง Swiss FOPH  เค้าเลยแนะนำว่าในขณะที่เรากำลังใช้งานโทรศัพท์พูดคุยนั้น เราควรหลีกหลีกเลี่ยงเอามือถือมาวางใกล้ๆตัวหรือใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง เพราะร่างกายเรามันจะดูดซับคลื่นอยู่ดีแม้จะใช้หูฟัง Bluetooth ที่มีการปล่อยคลื่นในระดับที่ต่ำก็ตาม คนส่วนใหญ่คิดว่าการใช้หูฟัง Bluetooth นั้นปลอดภัย แต่ดันลืมไปว่าเอา PDA Phone หรือมือถือติดตัวเอาไว้เหมือนเดิม สรุปแล้วก็คงได้แต่ความสะดวกในการใช้งานที่ไม่ต้องมีสายวุ่นวายแต่อันตรายก็ยังเท่าเดิม

เท่านั้นยังไม่พอทาง Loughborough University (U.K.) เค้ายังมีข้อมูลเพิ่มเติมมาอีกนะครับว่า ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก หรือโลหะในร่างกายเรา เช่นเหรียญ ในกระเป๋ากางเกง หัวเข็มขัดที่เป็นเหล็กและ ซิบกางเกง เหล่านี้มันยังช่วยเพิ่มค่า SAR ในขณะที่ใช้งานมือถือให้มากขึ้นอีกด้วย  แบบนี้สงสัยคงต้องล่อนจ้อนยืนคุยกันแล้วหละมั๊ง


แล้วเราควรจะใช้มือถือหรือ PDA Phone ให้ปลอดภัยอย่างไรดี


1.เลือกมือถือที่มีค่า SAR ในระดับมาตราฐาน ลองอ่านข้อมูลประกอบที่นี่
http://www.e...-Safer-Phone

2.ควรใช้หูฟัง Bluetooth หรือ  Speaker โดยที่วางเครื่อง มือถือให้ห่างตัวขณะที่กำลังใช้งานพูดคุย

3.คุยเท่าที่จำเป็น พวกโปรเม๊าส์กระจาย คุยแหลก ก็อย่าไปใช้ให้มันคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป เดี๋ยวจะเดี๊ยงเสียก่อน

4.ถือมือถือหรือวางเครื่องให้ห่างจากตัวขณะที่ใช้งาน เช่นวางบนโต๊ะแล้วเปิด Speaker ก็ได้ หากไม่มีใครอยู่ใกล้ๆตัวเรา

5.หากธุระไม่สำคัญ SMS ก็น่าจะเพียงพอในการสื่อสารข้อมูลถึงกัน

6.สัญญาณอ่อนไม่ควรใช้โทรศัพท์ ขณะที่ขีดบอระดับสัญญาณบนเครื่องเราอ่อน เราไม่ควรใช้โทรศัพ?เพราะว่ามันจะแผ่คลื่นมากขึ้นเพื่อรับสัญญาณจากเสามือถือที่อยู่ใกล้ๆที่เราอยู่ ยิ่งอันตรายเข้าไปกันใหญ่

7.ไม่ควรให้เด็กใช้มือถือ ปัจจุบันพ่อแม่ต่างก็ห่วงลูกกลัวจะติดต่อกันลำบาก เด็กอนุบาลในเมืองไทยบางคนก็มีมือถือใช้กันแล้ว ส่วนระดับประถมไม่ต้องพูดถึงมีเกลื่อนให้เห็นเยอะ แต่นั่นแหละตัวทำอันตรายลูกน้อยคุณเลยหละ


สำหรับเรื่องราวในวันนี้ที่ผมนำมาบอกเล่าสู่กันฟังนั้นก็ เป็นข้อมูลที่ไม่มีใครกล้ายืนยัน 100% ว่าจะอันตรายต่อร่างกายเราจริงๆเพียงแต่นำมาบอกเล่าเตือนสติ และเตือนการใช้งาน โดยเฉพาะน้องๆวัยรุ่น ที่ใช้มือถือกันแบบเม๊าส์กระจาย จีบหญิง คุยกันเป็นชั่วโมงๆ รวมทั้งถึงเด็กเล็กๆที่ใช้มือถือกันเยอะมากในปัจจุบัน สำหรับเรื่องราวในวันนี้ หากคิดว่ามีประโยชน์ก็ copy ไปบอกๆต่อๆกันก็ได้นะครับ ผมไม่หวงข้อมูลแม้ข้อมูลจะเป็นการรวมมาจากหลายๆแหล่งแต่เชื่อว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับคนที่ได้มาอ่านไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเพราะผมเองก็ไม่ใช่หมอหรือนักวิทยาศาสตร์ใดๆ นำมาเล่าไม่ใช้บอกว่าให้วิตก กังวลกันเกินเหตุ เพราะเราคงจะหลีกเลี่ยงกันได้ลำบาก แต่ใช้อย่างมีความรู้ น่าจะดีกว่าใช่ไหมครับ สำหรับใครอยากทราบว่า PDA Phone รุ่นไหนมีค่าการแผ่เท่าไร ลองดูได้ที่
http://www.e...function=PDA




http://www.ewg.org

บันทึกการเข้า

ไม่รับตอบปัญหาทาง PM  ไม่ต้องขอโปรแกรมทุกชนิดทาง PM

 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ท่านคิดว่า GPS Andriod VS mobile phone ที่มี GPS อันไหนดีกว่ากัน
ห้องโพลล์
beanba 9 89351 กระทู้ล่าสุด 26 กุมภาพันธ์ 2014, 14:47:02
โดย niceball
Sygic เปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับ Windows Phone 8.1 แล้ว
Sygic
pizza_p 0 1951 กระทู้ล่าสุด 28 มกราคม 2015, 14:19:39
โดย pizza_p
Here Maps ใน Windows Phone 8
ห้องโพลล์
โก๊ะ 0 1598 กระทู้ล่าสุด 16 มีนาคม 2020, 16:56:45
โดย โก๊ะ
Powered by MySQL Powered by PHP

Powered by SMF 1.1.10 | SMF © 2006-2009, Simple Machines LLC
SimplePortal 2.3.5 © 2008-2012, SimplePortal | Thai language by ThaiSMF

SMFAds for Free Forums
© Copyrights 2010 navthai.com mod by trex_ln
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.074 วินาที กับ 36 คำสั่ง