ที่มา Mr.palm
ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว วันนี้ผมคงไม่นำเรื่องในบทความนี้มาเขียนบอกเล่าสู่กันฟังแน่นอนครับเพราะเมื่อสัก 20 ปีก่อนปริมาณการใช้งานมือถือไม่มากถึงทุกวันนี้ซึ่งมีคนใช้มือถือทั่วโลกมากกว่า 4 พันล้านคน ในเมืองไทยไม่ต้องพูดถึง มีใช้กันเกลื่อนทุกสังคมทุกชนชั้น ตั้งแต่กรรมกร ยันไฮโซ สิ่งที่มาคู่กับเรื่องปริมาณการใช้มือถือและเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานแสนนานก็คือ ใช้มือถือแล้วคลื่นมือถือทำอันตรายต่อสุขภาพเราจริงหรือ?
จากบทความวิจัยหลายๆที่ทั่วโลกยังไม่สรุปนะครับว่าคลื่นมือถือทำให้เกิดมะเร็ง หรืออันตรายต่อร่างกายเราจริงๆยังไม่มีใครกล้าฟันธง แม้แต่หมอลักษณ์ หรือหมอกฤษณ์ ก็ยังไม่กล้ายืนยัน แต่จากการทดลองในต่างประเทศพบว่า กลุ่มคนที่ใช้มือถือเยอะๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ใช้มือถือในบางครั้งและในยามจำเป็น พบว่าคนที่ใช้มือถือเยอะๆ ในแต่ละวัน มีอัตราการเป็นมะเร็งสมอง หรือมีผลกระทบอื่นๆสูงกว่าผู้ที่ใช้มือถือในปริมาณที่น้อย ซึ่งก็เป็นผลมาจากคลื่นของมือถือนั่นเอง มันทำให้เกิดหลายสิ่งตามมา ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาทต่างๆ รวมทั้ง สิ่งที่ผู้ชายสุดแสนจะกลัววววว ก็คือมันมีผลต่อการค่าสเปริม ของผู้ชายด้วย
ซึ่งเป็นผลการวิจัยของ Cleveland Clinic Center for Reproductive Medicine and Medical College of Wisconsin, และการวิจัยของประเทศอื่นๆ (Australia, Japan, and Europe) ว่ามีผลทำให้จำนวนของ สเปริมผู้ชายลดลงด้วย แต่ไม่ใช่ว่าใช้ปีสอง ปีแล้วจะเห็นผล มันเป็นผลระยะยาวนะครับ เป็นสิบปี
ในอเมริกาโทรศัพท์ก่อนออกขายจะต้องมีการผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เรียกชื่อย่อว่า FCC ซึ่งหากไปอเมริกาจะเห็นว่าสินค้าบางอย่างจะเขียนว่า FCC Approve ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การทดสอบโทรศัพท์ของค่ายต่างๆก่อนออกขายนั้นตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา การที่โทรศัพท์จะออกจำหน่ายได้นั้นต้องผ่านการตรวจสอบเรื่องของ SAR Rating ด้วย SAR ย่อมาจาก "specific absorption rate " เป็นการวัดปริมาณ พลังคลื่นความถี่จากอุปกรณ์มือถือ หรือ radiofrequency (RF) energy ซึ่งจะถูกดูดซับโดยร่างการของเราขณะใช้งาน ก็คงจะคล้ายๆกับการวัดปริมาณคลื่นหรือรังสีที่เราอาบเข้าไปขณะใช้งาน สำหรับโทรศัพท์ในอเมริกานั้น FCC จะอนุญาติให้โทรศัพท์ที่มีค่า SAR Rating ต่ำกว่า 2.0 W/KG ออกจำหน่ายได้ โดยวัดจากการใช้งานขณะที่เอามาแนบหูตัวผู้ใช้ เหมือนกับการใช้งานจริง หากค่า SAR Rating มากกว่า 2.0 ก็ถือว่าสอบตก ต้องให้ผู้ผลิตรายนั้นๆไปหาหนทางปรับค่าใหม่ก่อนส่งมาทดสอบต่อไป
อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่จะสรุปว่าคลื่น RF นั้นมันมีผลต่อสุขภาพเราจริงๆ แต่ในการวิจัยและการทดสอบจากบางแห่งก็มีการให้ข้อมูลว่าพวกคลื่น RF จากมือถือนี่แหละมันมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวเร่งให้เซลในร่างการเกิดความผิดปกติไปซึ่งจะทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ โดยจากการทดลองกับสัตว์ปรากฎว่ามันมีผลลัพธฺที่ทำให้เกิดความผิดปกติจริงๆ แต่ในมนุษย์ยังไม่มีการฟันธงว่าจะเกิดขึ้นจริงๆเพราะมันเป็นผลระยะยาวสำหรับใครที่ใช้โทรศัพท์เป็นระยะเวลานานๆ
การใช้หูฟัง Bluetooth จะช่วยลดอันตรายได้จริงหรือ?
จากข้อมูล American Cancer Society 2008; BfS 2005; Martinez-Burdalo 2009; Swiss Federal Office of Public Health 2009a ก็เป็นที่ยืนแล้วครับว่าการใช้ หูฟัง Bluetooth นั้นสามารถช่วยลดค่า SAR ได้จริง แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัด ว่า ค่า SAR ที่ออกมาจากมือถือนั้นมันทำอันตรายต่อคนใช้ได้มากน้อยแค่ไหนเพราะมันเป็นผลระยะยาว
เทคโนโลยี Bluetooth นั้นเริ่มฮิตใช้กันเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานี้เองเป็นการติดต่อสื่อสารระยะใกล้ๆสำหรับอุปกรณ์สองชนิดที่ต่างกันหรือเหมือนกันโดยใช้คลื่นความถี่เป็นการส่งข้อมูลสื่อสารซึ่งจะมีระยะการติดต่อในวงแคบๆไม่ไกลมากนัก ซึ่งเรื่องนี้ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักกับเรื่อง Bluetooth เป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งจากากรทดสอบของ Swiss Federal Office of Public Health (FOPH) เค้าได้วัดค่า SAR จากอุปกรณ์ หูฟัง Bluetooth จากรุ่นทั่วๆไปซึ่งก็ได้ค่าประมาณ 0.001 and 0.003 W/kg ซึ่งน้อยกว่า จากค่า SAR ที่ออกจากมือถือรุ่นที่ปล่อยคลื่นน้อยสุดถึง 12 เท่า
แม้ว่าหูฟัง Bluetooth มันจะช่วยลดคลื่นให้เราได้มากก็ตามแต่ก็อย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่มักจะเอาโทรศัพท์หรือ PDA Phone ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ หรือหนีบไว้ที่ซองใส่ในเอว เพราะว่าขณะที่เรากำลังใช้งานโทรศัพท์ผ่านหูฟัง Bluetooth นั้น กำลังการแผ่คลื่นของมือถือมันไม่ได้ลดลงนะครับ แถมเรายังเอามันวางไว้ในตำแหน่งใกล้ตัว มันก็ยังคงเกิดอันตรายอยู่ดี เพราะร่างกายเรามันก็จะดูดซับคลื่นโทรศัพท์ขณะที่ใช้งานเหมือนเดิม ดังนั้นทาง Swiss FOPH เค้าเลยแนะนำว่าในขณะที่เรากำลังใช้งานโทรศัพท์พูดคุยนั้น เราควรหลีกหลีกเลี่ยงเอามือถือมาวางใกล้ๆตัวหรือใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง เพราะร่างกายเรามันจะดูดซับคลื่นอยู่ดีแม้จะใช้หูฟัง Bluetooth ที่มีการปล่อยคลื่นในระดับที่ต่ำก็ตาม คนส่วนใหญ่คิดว่าการใช้หูฟัง Bluetooth นั้นปลอดภัย แต่ดันลืมไปว่าเอา PDA Phone หรือมือถือติดตัวเอาไว้เหมือนเดิม สรุปแล้วก็คงได้แต่ความสะดวกในการใช้งานที่ไม่ต้องมีสายวุ่นวายแต่อันตรายก็ยังเท่าเดิม
เท่านั้นยังไม่พอทาง Loughborough University (U.K.) เค้ายังมีข้อมูลเพิ่มเติมมาอีกนะครับว่า ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก หรือโลหะในร่างกายเรา เช่นเหรียญ ในกระเป๋ากางเกง หัวเข็มขัดที่เป็นเหล็กและ ซิบกางเกง เหล่านี้มันยังช่วยเพิ่มค่า SAR ในขณะที่ใช้งานมือถือให้มากขึ้นอีกด้วย แบบนี้สงสัยคงต้องล่อนจ้อนยืนคุยกันแล้วหละมั๊ง
แล้วเราควรจะใช้มือถือหรือ PDA Phone ให้ปลอดภัยอย่างไรดี
1.เลือกมือถือที่มีค่า SAR ในระดับมาตราฐาน ลองอ่านข้อมูลประกอบที่นี่
http://www.e...-Safer-Phone2.ควรใช้หูฟัง Bluetooth หรือ Speaker โดยที่วางเครื่อง มือถือให้ห่างตัวขณะที่กำลังใช้งานพูดคุย
3.คุยเท่าที่จำเป็น พวกโปรเม๊าส์กระจาย คุยแหลก ก็อย่าไปใช้ให้มันคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป เดี๋ยวจะเดี๊ยงเสียก่อน
4.ถือมือถือหรือวางเครื่องให้ห่างจากตัวขณะที่ใช้งาน เช่นวางบนโต๊ะแล้วเปิด Speaker ก็ได้ หากไม่มีใครอยู่ใกล้ๆตัวเรา
5.หากธุระไม่สำคัญ SMS ก็น่าจะเพียงพอในการสื่อสารข้อมูลถึงกัน
6.สัญญาณอ่อนไม่ควรใช้โทรศัพท์ ขณะที่ขีดบอระดับสัญญาณบนเครื่องเราอ่อน เราไม่ควรใช้โทรศัพ?เพราะว่ามันจะแผ่คลื่นมากขึ้นเพื่อรับสัญญาณจากเสามือถือที่อยู่ใกล้ๆที่เราอยู่ ยิ่งอันตรายเข้าไปกันใหญ่
7.ไม่ควรให้เด็กใช้มือถือ ปัจจุบันพ่อแม่ต่างก็ห่วงลูกกลัวจะติดต่อกันลำบาก เด็กอนุบาลในเมืองไทยบางคนก็มีมือถือใช้กันแล้ว ส่วนระดับประถมไม่ต้องพูดถึงมีเกลื่อนให้เห็นเยอะ แต่นั่นแหละตัวทำอันตรายลูกน้อยคุณเลยหละ
สำหรับเรื่องราวในวันนี้ที่ผมนำมาบอกเล่าสู่กันฟังนั้นก็ เป็นข้อมูลที่ไม่มีใครกล้ายืนยัน 100% ว่าจะอันตรายต่อร่างกายเราจริงๆเพียงแต่นำมาบอกเล่าเตือนสติ และเตือนการใช้งาน โดยเฉพาะน้องๆวัยรุ่น ที่ใช้มือถือกันแบบเม๊าส์กระจาย จีบหญิง คุยกันเป็นชั่วโมงๆ รวมทั้งถึงเด็กเล็กๆที่ใช้มือถือกันเยอะมากในปัจจุบัน สำหรับเรื่องราวในวันนี้ หากคิดว่ามีประโยชน์ก็ copy ไปบอกๆต่อๆกันก็ได้นะครับ ผมไม่หวงข้อมูลแม้ข้อมูลจะเป็นการรวมมาจากหลายๆแหล่งแต่เชื่อว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับคนที่ได้มาอ่านไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเพราะผมเองก็ไม่ใช่หมอหรือนักวิทยาศาสตร์ใดๆ นำมาเล่าไม่ใช้บอกว่าให้วิตก กังวลกันเกินเหตุ เพราะเราคงจะหลีกเลี่ยงกันได้ลำบาก แต่ใช้อย่างมีความรู้ น่าจะดีกว่าใช่ไหมครับ สำหรับใครอยากทราบว่า PDA Phone รุ่นไหนมีค่าการแผ่เท่าไร ลองดูได้ที่
http://www.e...function=PDAhttp://www.ewg.org