ลองอ่านดูนะครับ เผื่อจะมีประโยชน์
คำฟ้องคดีตัวอย่าง เรียกค่าเสียหายจากโตโยต้า5ล้าน ไอเสียเข้าในรถ"อินโนวา"อ้างกระทบสุขภาพร้ายแรง
เมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน นางสุภาภรณ์ ว่องวีรวัฒนกุล กับบุตร 3 คนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท โตโยต้า มอเตอร์(ประเทศไทย)จำกัดและพวกต่อศาลแพ่งธนบุรีเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน เกือบ 5 ล้านบาทจากกรณีโจทก์ซื้อรถยนต์โตโยต้า รุ่นอินโนว่า แต่ปรากฏว่า มีไอเสียจากเครื่องยนต์รั่วเข้ามาในห้องโดยสารทำใหมีผลกระทบต่อสุขภาพของ โจทก์อย่างร้ายแรง
ทั้งนี้คำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปว่า เมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.2547 โจทก์ที่ไปเที่ยวงานมหกรรมรถยนต์ที่ศูนย์แสดงสินค้าเมืองทองธานี ได้รับการเสนอหรือชักชวนจากพนักงานขายของจำเลยที่ 1 ให้ซื้อรถยนต์โตโยต้า รุ่นอินโนว่า ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันดีเซล จึงได้ซื้อไว้และชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว และได้รับโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันดังกล่าวมาเรียบร้อยแล้ว
ภายหลังจากโจทก์ได้รับรถยนต์คันดังกล่าวก็ได้ใช้งานตามปกติวิสัยรวมทั้งรับ ส่งบุตรทั้งสามไป-กลับโรงเรียนเช้า-เย็นตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ โดยโจทก์ทั้งสี่อยู่ในรถยนต์คันดังกล่าววันละประมาณ 5-6 ชั่วโมง
หลัง จากไม่นาน โจทก์รู้สึกว่า มีกลิ่นคล้ายกลิ่นจากท่อไอเสียเข้ามาในห้องโดยสาร จึงได้แจ้งกับพนักงานขายของจำเลยที่ 1 ซึ่งแจ้งว่าเป็นเรื่องปกติของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล โจทก์ไม่เคยใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ดีเซลจึงไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นเรื่อง ปกติหรือไม่
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 โจทก์ใช้รถยนต์คันดังกล่าวครบระยะ 50,000 กิโลเมตร จึงได้นำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าตรวจเช็คกับศูนย์บริการซ่อมรถยนต์ของจำเลย โจทก์แจ้งกับพนักงานของจำเลยว่า มีกลิ่นควันคล้ายกลิ่นท่อไอเสียเข้ามาในห้องโดยสาร พนักงานของจำเลยแจ้งว่า เป็นเรื่องปกติของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลและให้โจทก์ ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ
แต่กลิ่นดังกล่าวก็ยังไม่หายไป และเริ่มมีคราบเขม่าเข้ามาในห้องโดยสาร ดังนั้น เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2550 โจทก์จึงนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าตรวจเช็คกับศูนย์ฯ ของจำเลยโดยจำเลยแจ้งให้เจ้าหน้าที่เท็คนิคของบริษัทโตโยต้าฯ มาตรวจสอบโดยให้โจทก์ ทิ้งรถยนต์คันดังกล่าวไว้เป็นเวลา 5 วัน เมื่อครบกำหนดโจทก์มารับรถ พนักงานของจำเลยได้แก้ไขให้โดยเปลี่ยนช่องลมบังโคลน ซ้าย – ขวา และแจ้งแก่โจทก์ที่ว่า สามารถนำรถไปใช้ได้อย่างสบายใจ
แต่กลิ่น และคราบเขม่าดังกล่าวก็ยังไม่หายไป ดังนั้น เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ2550 โจทก์จึงนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าตรวจเช็คกับศูนย์ฯ ของจำเลย อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังตรวจเช็คแล้ว ผู้จัดการศูนย์ฯ ของจำเลยแจ้งโจทก์ว่า ไม่เป็นไร เป็นธรรมดาของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล
โจทก์เชื่อตามที่ ผู้จัดการศูนย์ฯ ของจำเลย บอกว่า กลิ่นควันคล้ายท่อไอเสียดังกล่าวเป็นธรรมดาของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จึงใช้รถยนต์คันดังกล่าวเรื่อยมา ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2551 โจทก์รู้สึกว่าแอร์ฯ ไม่เย็น ไม่มีลม จึงนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าเช็คที่ศูนย์ของจำเลย ทางศูนย์ฯ ของจำเลยอ้างว่า ตู้แอร์ตันไม่สามารถล้างได้จึงได้ทำการเปลี่ยนตู้แอร์ให้ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ2551
ในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2551 โจทก์นำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าเช็คระยะ 100,000 กิโลเมตร ทางพนักงานของจำเลยแจ้งโจทก์ว่าไส้กรองเครื่องฟอกอากาศอุดตัน จำเลยจึงได้เปลี่ยนไส้กรองให้เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2551
แต่ กลิ่นและคราบเขม่า ก็ยังไม่หายไป และโจทก์ได้แจ้งพนักงานจำเลยทราบ พนักงานจำเลยจึงได้ทำการล้างแอร์โฟว์ให้ แต่กลิ่นและคราบเขม่าก็ยังไม่หายไป
.
.
.
.
การกระทำของจำเลยที่ประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสอบสินค้าให้ดีว่ามีคุณภาพไม่ก่อ ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด แต่กลับนำผลิตภัณฑ์ที่ชำรุดบกพร่องมาจำหน่ายก่อให้ความเสียหายแก่โจทก์ทั้ง สี่ ส่วนจำเลยที่ 2 ทราบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวชำรุดบกพร่องเป็นอันตรายต่อสุขภาพของโจทก์ทั้งสี่ แต่กลับปิดบังความจริงอันควรจะแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่ทราบจึงต้องร่วมรับผิด ด้วย ในความเสียหาย ดังนี้
1.ค่าเสื่อมสุขภาพอนามัยและทนทุกข์ ทรมานจากการใช้รถยนต์คันดังกล่าวเป็นเวลากว่า 5 ปี เศษ โดยที่โจทก์ที่ 1 ปัจจุบันอายุ46 ปี จบการศึกษาพยาบาลศาสตร์ เคยเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อมาลาออกมาเพื่อสมรส และเป็นแม่บ้าน มีรายได้จากสามีเดือนละ 150,000 บาท
โจทก์ที่ 2 มีอายุ 21 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย
โจทก์ที่ 3 ปัจจุบันอายุ 18 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
โจทก์ที่ 4 ปัจจุบันอายุ 13 ปี ปัจจุบันอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จทก์ ทั้งสี่ขอคิดค่าเสื่อมสุขภาพอนามัยและทนทุกข์ทรมานจากการใช้รถยนต์คันดัง กล่าววันละ 1,500 บาทต่อคน เป็นเวลากว่า 5 ปีเศษ แต่โจทก์ทั้งสี่ขอคิดเพียง 1 ปีก่อนฟ้อง คิดเป็นค่าเสียหายคนละ 547,500 บาท รวมค่าเสียในส่วนนี้ของโจทก์ทั้งสี่เป็นเงิน 2,190,000 บาท
2.ค่า ขาดประโยชน์ใช้สอยในรถยนต์คันดังกล่าว เนื่องจากการใช้รถยนต์คันดังกล่าวก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ที่ 1 จึงหยุดใช้รถยนต์คันดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2552 และขึ้นรถยนต์แท็กซี่แทนเสียค่าใช้จ่ายวันละ1,500 บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 253 วัน เป็นเงิน 379,500 บาท และเนื่องจากความชำรุดบกพร่องของรถยนต์คันดังกล่าวมีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า นั้นและไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสภาพที่ใช้งานได้ปกติหรือถึงแม้แก้ไขแล้วหากนำ ไปบริโภคอาจเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรืออนามัยของโจทก์ทั้งสี่ที่ใช้สินค้า นั้น โจทก์ที่ ๑
จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเปลี่ยนรถยนต์รุ่นเดียวกันให้ใหม่ และให้ใช้ค่าขาดประโยชน์ใช้สอยวันละ ๑,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ให้แก่โจทก์ที่ 1
และ หากจำเลยทั้งสามไม่สามารถหารถยนต์รุ่นดังกล่าวมาเปลี่ยนให้แก่โจทก์ที่ได้ ก็ให้รับรถยนต์คันดังกล่าวไปแล้วใช้ราคาแทน โดยโจทก์ที่ 1 ซื้อรถยนต์มาในราคา 1,169,000 บาทหักค่าเสื่อมราคาปีละ 7 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา5 ปี คงเหลือเงิน 759,850 บาท
3.ค่าขาดโอกาสที่จะมีอายุ ยืนยาวและจะได้รับความสนุกสนานในชีวิต เนื่องควันและเขม่ามีสาร polycyclicaeromatichydrocarbon อันเป็นสารก่อมะเร็งมายาวนานถึง 5 ปีเศษ มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งและเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร โจทก์ทั้งสี่ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เท่ากับค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพโรค มะเร็ง คนละ 5,000 บาท ต่อปี เป็นเวลา20 ปี คิดเป็นค่าเสียหายคนละ 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 400,000 บาท
4.ค่าเสียหายในความวิตกกังวล ทนทุกข์ทรมาน ว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ คนละ 500,000 บาท เป็นเงิน 2,000,000 บาท
รวมเป็นเงินที่จะต้องชำระให้กับโจทก์ที่1 เป็นเงิน 1,527,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 1,147,500 บาท โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน 1,147,500 บาท โจทก์ที่4 เป็นเงิน 1,147,500 บาท รวม 4,969,500 บาท
ตามไปอ่านต่อนะครับ ...........
http://www.m...1&catid=