วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองการที่เราไม่ค่อยล้างรถในช่วงหน้าฝน เพราะคิดว่า ล้างไป เดี๋ยวก็เลอะอีก ไม่ใช่ว่าคิดไม่ถูกนะครับ แต่ ถ้าคิดให้ดี ๆ รถยนต์ก็เหมือนเรา ๆ ท่านๆเนี่ยแหละครับ เมื่อตากฝน ตัวก็เปียก ซ้ำร้ายด้วยความสกปรกที่เกาะอยู่ตามตัวเรา ก็เหมือนสิ่งสกปรกที่ติดอยู่กับตัวรถยนต์สวย ๆ อันเป็นที่รักของเราเนี่ยแหละครับ ซึ่งหากไม่อาบน้ำ อาบท่า หละก็ เป็นคราบสกปรก อาจจะฝังตัวติดกับสีรถยนต์ แล้วอย่างนี้ ขับไปที่ไหนใครเขาจะมองกันหละทีเนี้ย เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว เวลาเราขับรถลุยฝน ลุยน้ำท่วม สกปรก เลอะเทอะ
เราก็ควรที่จะรีบทำความสะอาด ล้างรถ เช่นเดียวกันครับ
เพราะว่า ปัจจุบันนั้น ฝนเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพ และเขตอุตสาหกรรมนั้น จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ หรือที่เรียกกันว่า "ฝนกรด" นั่นเองครับ ถ้าเราไม่รีบล้าง ทำความสะอาด ฝนกรดนี้ก็อาจจะกัดสีรถเราได้นะครับ
ดังนั้น เราควรเปลี่ยนความคิด หันมาล้างรถเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอจะดีกว่าครับ หน้าฝน ควรที่จะต้องล้างรถ มากกว่าหน้าอื่นๆ เพราะถ้าเราไม่ล้างรถ คราบน้ำ คราบต่างๆ ที่ไม่ประสงค์จะให้มี ก็จะสะสมอยู่ที่ผิวสี และอาจจะฝั่งแน่นเป็นคราบขี้ไคล ทำให้รถเราหม่น เหลือง ล้างไม่ออกได้นะครับ
1. หมั่นล้างรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังลุยฝนมาเพื่อจะช่วยไม่ให้เกิดคราบฝังแน่น แต่ถ้าเราไม่มีเวลามาก แนะนำให้ใช้สายยางฉีดไล่ฝุ่น โคลน และคราบน้ำฝน เอาเพียงแค่นี้ก็ได้ครับ
2. เมื่อเราขับรถลุยฝนมาแล้ว พยายามอย่าจอดรถตากแดดเพราะจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง และเป็นคราบน้ำ ยิ่งถ้าเจอฝนกรดด้วยแล้ว คราบน้ำนั้นจะฝังตัวแน่น และอาจกัดลงถึงเนื้อสีได้ (เช่นเดียวกับคราบน้ำแป้งในช่วงเทศกาลสงกรานต์) ซึ่งถ้าเป็นคราบน้ำแล้วเราล้างไม่ออก แนะนำให้รีบนำรถเข้ามาขัดเคลือบสีโดยด่วนเลยครับ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะมันอาจจะขัดไม่ออก
3. ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถหลังฝนตก เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดรอยได้เพราะขณะที่เราขับรถลุยฝนนั้น จะมีฝุ่น ทราย โคลน เกาะที่ผิวสี เมื่อเช็ดรถด้วยผ้าแห้ง ก็อาจเกิดริ้วรอยได้ ดังนั้น ควรฉีดน้ำล้างจะดีที่สุด
4. ไม่ควรล้างรถเองในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ เพราะบางครั้ง น้ำที่ตกค้างอยู่ตามซอก ตะเข็บรถ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถเป็นสนิมได้
5. ในช่วงหน้าฝน ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ที่มียาง เกสร ดอก หรือผล เพราะในฤดูฝน มักมีลมกรรโชกที่รุนแรง นอกจากต้นไม้จะหักหรือล้มมาโดนรถแล้ว สิ่งดังกล่าวอาจจะปลิวมาติดรถ และทำให้ผิวสีด่างและเสียได้ หากเราไม่แก้ไขให้ทันท่วงที
6. หากมีเวลาว่าง ก็แนะนำให้เคลือบสีด้วย การเคลือบสีนั้น นอกจากจะทำให้รถเราสวยงามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำจากฝนกรดด้วยนะครับ ถ้าเราเคลือบสีบ่อยๆ น้ำจะไม่เกาะที่ตัวรถ จะทำให้ลดการเกิดคราบน้ำและยังจะช่วยให้เราล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วย แต่ถ้าเราไม่เคลือบสีเลย โอกาสเกิดคราบน้ำก็มีสูง คราบสกปรกก็จะฝังตัวได้ง่าย ทำให้เราล้างรถลำบากครับ
หากมีเวลาหยุด แล้วไม่อยากออกมาเผชิญกับรถติดในเมืองหลวง ก็ลองเคลือบสีรถยนต์อันเป็นที่รักของเราด้วยตัวเองดูสิครับ ก็ใช้เวลาไม่มากสัก 2 ชั่วโมง แต่ก็แป๊บเดียวแหละ ราคาก็อยู่ที่กระปุกละ 1,000 กว่าบาท ก็ถือว่าไม่แพง ส่วนจะเป็นยี่ห้อไหน เท่าที่ทราบก็คุณสมบัติก็ไม่แตกต่างกัน อยู่ที่เราชอบเมื่อได้ใช้ก็จะรู้เองว่าเราพอใจในยี่ห้อไหน หรือว่าจะตัดสินใจกันด้วยราคา ก็สุดแล้วแต่หละครับ เราลองมาดูวิธีการเคลือบสีรถยนต์ด้วยตัวเองกันดู
วิธีการดูแลรักษาสีรถยนต์ ในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองเคลือบสีรถด้วยตนเองการเคลือบสีก็ไม่ยากครับ ก่อนอื่นก็เริ่มจากล้างรถให้สะอาดตามวิธีการข้างต้น แต่ไม่ต้องเช็ดแห้งนะครับ เช็ดรถแค่พอให้น้ำหมาด ๆ จากนั้นก็เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่มที่มีน้ำหมาด ๆ ขอเน้นว่าผ้านุ่มเท่านั้นนะครับ แล้วก็เริ่มเช็ดโดยวน เป็นก้นหอยให้ทั่วบริเวณตัวรถ ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างกระป๋อง (ถ้าเป็นของคาร์แลค 68 จะทิ้งน้ำยาไว้ประมาณ 30 นาที) ช่วงนี้ก็พักไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามใจชอบ หรือถ้ามีเวลาเยอะหน่อยจะทิ้งไว้ทั้งวัน เคลือบเช้า เช็ดเย็นก็ยังได้ แบบว่ายิ่งนานยิ่งดี แต่ไม่ต้องถึงขนาดข้ามวันข้ามคืนนะครับ อันนี้เกินไปนิด พอครบกำหนดก็ใช้ผ้านุ่มเช็ดน้ำยาออกให้หมด แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ ที่เหลือก็แค่... ใช้ตาครับ ชื่นชมกับผลงานของคุณเอง รับรองครับว่าหายเหนื่อยครับ
แม้ว่าการเคลือบสีจะเป็นการปกป้องสีรถ แต่หากเคลือบสีอย่างเดียวบ่อยๆ สีรถอาจจะดูหมอง ๆ ไปบ้าง เนื่องจากบนผิวสีรถ อาจมีคราบสกปรก หรือคราบมลภาวะ มลพิษที่อาจจะทำลายแลคเกอร์ของรถได้ฝังอยู่ ซึ่งถ้าเคลือบทับไปบ่อยๆ ก็จะทำให้คราบสกปรกเหล่านั้นฝังตัวแน่นขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ถ้าเกิดมีละอองสี หรือยางมะตอยฝังอยู่โดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ขจัดมันออกไปก่อน เมื่อเคลือบทับลงไป สิ่งเหล่านี้จะคอยกัดกินผิวสีรถของคุณทำให้ผิวสีรถเป็นรูเล็ก ๆ รถจึงดูหมองลงได้ครับ
ที่มา: www.carlack68ratanathibet.com