คนจนกับคนรวย ใครนิสัยขี้โกงมากกว่ากัน ?ยูซี เบิร์กลี่ย์ มหาวิทยาลัยดังแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ร่วมกับมหาวิทยาลัยโตรอนโตของแคนาดา ได้รายงานผลการศึกษาที่น่าสนใจ พบว่าคนรวยมีนิสัยขี้โกง ไม่ซื่อสัตย์มากกว่าคนที่ไม่รวย เพราะคนรวยมีความโลภเป็นแรงจูงใจให้ทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม
คณะผู้ศึกษานำโดย ดร.พอล พิฟฟ์ ไปยืนซุ่มอยู่ที่สี่แยกทางม้าลายข้ามถนนที่ไม่มีไฟแดงในซานฟรานซิสโกเพื่อศึกษาพฤติกรรมการขับรถของคนที่ขับรถราคาแพงและราคาไม่แพง รวม 274 คัน
พบว่าคนที่ขับรถราคาแพง เช่น เบนซ์ บีเอ็มดับบลิว มักจะขับรถลัดคิวและไม่หยุดรถให้คนเดินข้ามทางม้าลายมากกว่าคนที่ขับรถราคาไม่แพง อย่างโตโยต้า โคโรลล่า โตโยต้า คัมรี่
ที่สหรัฐอเมริกา สี่แยกที่ไม่มีไฟแดงหลายแห่งจะมีป้าย "หยุด" คนอเมริกันเรียกสี่แยกประเภทนี้ว่า four-way-stop intersection ตามกฎจราจรอเมริการถคันไหนขับมาถึงสี่แยกก่อน ก็จะได้ไปก่อน โดยเวียนกันทีละคันจนครบสี่คันทั้งสี่แยก ซึ่งต่างจากเมืองไทยที่ไม่มีการรอคิวผลัดกันไป ของเรามักจะขับจี้ก้นคันข้างหน้าแบบไม่ให้รถที่อยู่อีกทางหนึ่งแทรกได้ ทำให้รถอีกทางหนึ่งต้องติดรอนานซึ่งไม่ยุติธรรม
ถามว่าในกรณีที่รถสองคันมาถึงป้ายหยุดพร้อมกันจะทำยังไง?
กติกาของเขาบอกว่าให้รถทางด้านขวามือของคนขับไปก่อน ตัวอย่างในภาพ รถคัน B สีเหลืองต้องให้สิทธิรถ A คันสีแดงไปก่อน เพราะรถสีแดงอยู่ทางด้านขวามือของคนขับสีเหลือง
ถ้ามีรถมาทั้งสี่ด้านก็ใช้สูตรขวามือของคนขับไปก่อนทั้งสี่ด้าน
ตามปกติคนอเมริกันมีน้ำใจ และรักษากฎในการขับรถ เวลามาถึงป้ายหยุดพร้อมกันแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างจะให้อีกฝ่ายขับผ่านไปก่อน ซึ่งบ่อยครั้งก็กลายเป็นว่าพุ่งออกรถพร้อมกัน หรือรีบเหยียบเบรกพร้อมกัน
ที่สำคัญมากคือหากมีคนยืนรอข้ามถนน รถทุกคันต้องหยุดให้คนข้ามถนนก่อน แม้คนเดินข้ามถนนจะเดินมาถึงหลังสุดก็ตาม
ที่อเมริกาให้สิทธิคนข้ามถนนสูงมาก หากเห็นคนกำลังเตรียมจะข้ามทางม้าลาย ผู้ขับขี่รถที่นั่นต้องหยุดรถทันที แถมต้องห่างจากผู้ข้ามอย่างน้อยสองถึงสามเมตร ไม่เช่นนั้นคนขับรถจะถูกคนข้ามมองตาเขียว และห้ามบีบแตรเร่งให้รีบเดินโดยเด็ดขาด
คนข้ามถนนที่อเมริกาไม่วิ่งเหมือนที่บ้านเรา แต่จะเดินลอยชายเพราะกฎหมายที่อเมริกาปกป้องคุ้มครองคนข้ามถนนสูงมาก
คณะผู้ศึกษาที่ยืนซุ่มแอบดูอยู่ที่สี่แยกป้ายหยุดได้จดยี่ห้อรถ รุ่น ปี สภาพรถ และดูว่ามีพฤติกรรมการรอคิวเวียนเทียนที่ป้ายหยุดอย่างไร
พบว่าคนที่ขับรถราคาแพงชิงขับไปก่อนไม่รอคิวของตัวเอง มากกว่าคนขับรถราคาไม่แพงถึง 4 เท่า
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ยอมหยุดให้คนข้ามถนนมากกว่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ดร.พอล พิฟฟ์ บอกว่าการที่คนขับรถราคาแพงไม่ได้หมายความว่ามีฐานะร่ำรวยเสมอไป ดังนั้น จึงทำการศึกษาเพิ่มเติมถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรวยกับความเห็นแก่ตัว โดยได้สุ่มสำรวจนักศึกษา และให้นักศึกษาจัดระดับตัวเองว่ามีฐานะด้านการเงิน และคิดว่าตัวเองเป็นคนระดับชั้นไหนในสังคม
จากนั้นก็ถามนักศึกษาต่อว่าในสถานการณ์ที่ผิลศีลธรรมต่างๆ 8 สถานการณ์ จะปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น หากไปซื้อกาแฟ 1 ถ้วย และมัฟฟิน 1 ชิ้น จ่ายเงินให้แคชเชียร์ด้วยแบงก์ 10 ดอลลาร์ แต่แคชเชียร์ทอนเงินผิด ให้แบงก์ 20 ดอลลาร์ ติดกลับมา ถามว่าจะคืนเงินที่แคชเชียร์ทอนให้เกินมาหรือเปล่า
อีกสถานการณ์หนึ่ง อาจารย์ให้เกรดผิด จริงๆ ควรได้ B แต่อาจารย์ให้ผิดเป็น A จะไปบอกอาจารย์หรือเปล่า
ซึ่งผลการทดสอบพบว่านักศึกษาที่บอกว่าตัวเองมีฐานะการเงินดี โกง ไม่ซื่อสัตย์มากกว่านักศึกษาที่ฐานะการเงินไม่ดี
ดร.พอล พิฟฟ์ วิเคราะห์ว่าการที่คนรวยทำอะไรโดยไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นนั้นก็เพราะคนรวยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนรอบข้างเท่าไหร่นัก เพราะตัวเองมีกำลังทรัพย์ ดังนั้น จึงไม่ต้องทำตัวให้คนอื่นรักเพื่อความอยู่รอด จะไม่รู้สึกลังเลหรือละอายที่จะทำผิดกฎระเบียบ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า คนเงินน้อย คนจน มักทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย กฎระเบียบ
นอกจากนั้น ดร.พอล พิฟฟ์ วิเคราะห์ว่าการที่คนรวยจำนวนไม่น้อยเห็นแก่ตัวและไม่ซื่อสัตย์นั้น ไม่ใช่เป็นคนไม่ดีมาแต่เกิด แต่ว่าการไต่เต้าขึ้นมาจนร่ำรวย ส่วนใหญ่ต้องมีความเห็นแก่ตัว ชิงดีชิงเด่น เอาเปรียบผู้อื่นเพื่อจะได้ผลประโยชน์มากกว่า
เมื่อไม่นานมานี้ มีการสุ่มผู้ใหญ่ 195 คน ให้เล่นเกมโยนลูกเต๋าออนไลน์ โดยให้ผู้เล่นจดแต้มของตัวเอง
กติการะบุว่าใครทำแต้มได้มากกว่า 12 ขึ้นไปจะได้เงิน 50 ดอลลาร์ ซึ่งทั้ง 195 คน ไม่ทราบว่าทางคณะสำรวจได้ล็อกเลขไว้แล้วว่าทุกคนจะโยนได้ 12 เหมือนกันหมด
โดยก่อนที่จะให้โยนลูกเต๋าได้ทำการสอบถามถึงรายได้ต่อปีของแต่ละคน
ซึ่งผลปรากฏว่าคนที่มีรายได้สูง โกหกว่าตัวเองทำแต้มได้เกิน 12 มากกว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำถึง 3 เท่า
ดร.พิฟฟ์บอกเงิน 50 ดอลลาร์ สำหรับคนที่มีรายได้สูงนั้นว่าไปแล้วไม่ได้ทำให้รวยขึ้นหรือตัวเองไม่มีความจำเป็นต้องได้เงิน 50 ดอลลาร์ เพื่อมาดำรงชีพ แต่คนที่มีรายได้สูงจำนวนไม่น้อยเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบ ไม่สนใจความถูกต้อง คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกฎระเบียบ ในขณะที่คนมีรายได้น้อย ต้องพึ่งพาคนในสังคม ดังนั้น จึงกลัวการทำผิดกฎสังคม
ก่อนหน้านี้คณะผู้ศึกษามหาวิทยาลัยแชตแฮมของอเมริกา ได้ทำการศึกษาเรื่องความรวยกับความเห็นแก่ตัวเช่นกัน โดยเลือกนักศึกษาปริญญาตรี 129 คน ให้แต่ละคนระบุว่าตัวเองเป็นคนรวยหรือคนจน จากนั้นก็ยื่นโถใส่ลูกอมให้แต่ละคนหยิบ บอกว่าอยากจะหยิบเท่าไหร่ก็เชิญตามสบาย โดยจะมีเด็กคอยทานลูกกวาดที่เหลือในโถ
ผลปรากฏว่านักศึกษาที่บอกว่าตัวเองรวย หยิบลูกอมในโถมากกว่านักศึกษาที่บอกว่าตัวเองยากจน ถึง 2 เท่า
อ่านเรื่องนี้จบ แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ
เอามาฝาก จาก คลุกวงใน/พิศณุ นิลกลัด ครับ เห็นว่าน่าสนใจดีครับ ความเชื่อกับความจริง เป็นอย่างไร?